Thursday, January 27, 2011

ตำนานกุหลาบ ราชินีแห่งดอกไม้

beautiful-rose-flowers-30
กุหลาบกลิ่นเฟื่องฟุ้ง          เนืองนอง
หอมรื่นชื่นชมสอง              สังวาส
นึกกระทงใส่พานทอง       ก่ำเก้า
หยิบรอจมูกเจ้า                  บ่ายหน้าเบือนเสีย   
จากกาพย์ห่อโคลงนิราศธารโศก พระนิพนธ์ของเจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร์ ที่ได้กล่าวถึงดอกกุหลาบไว้

กุหลาบ ในภาษาเปอร์เชียเรียกว่า "คุล" แปลว่า "สีแดง ดอกไม้ หรือดอกกุหลาบ"  และเข้าใจว่าจากเปอร์เซียได้แพร่เข้าไปในอินเดีย โดยสันนิฐานจากภาษาฮินดีก็มีคำว่า "คุล" แปลว่า "ดอกไม้" และคำว่า "คุลาพ" หรือที่ไทยเราเรียกและออกเสียงเป็น "กุหลาบ" ส่วนคำว่า "Rose" ในภาษาอังกฤษนั้นมาจากคำว่า "Rhodon" ในภาษากรีก
กุหลาบเข้ามาเมืองไทยเมื่อใดไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัด พบแแต่บันทึกของ ลา ลูแบร์ ราชทูตฝรั่งเศสในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช บันทึกไว้ว่าได้เห็นกุหลาบที่กรุงศรีอยุธยา และที่พบอีกแห่งก็คือ ในกาพย์ห่อโคลงนิราศธารโศก เจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร์ กวีเอกสมัยอยุธยาได้ทรงนิพนธ์ไว้
กุหลาบรู้จักและนิยมปลูกมาแต่โบราณมากว่า 70 ล้านปีมาแล้ว เพราะเคยค้นพบฟอสซิลของกุหลาบที่ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยแต่ก่อนกุหลาบนั้นเป็นกุหลาบป่าและมีรูปร่างไม่เหมือนในทุกวันนี้ แต่เนื่องจากเวลาผ่านมาอย่างยาวนานย่อมมีการนำกุหลาบป่ามาปลูกและพัฒนาพันธุ์ต่างๆ มากมายในปัจจุบัน
จีนพูดถึงกุหลาบว่า ได้มีการนำกุหลาบป่ามาปลูกในราชวังในสมัยราชวงศ์ฮั่นเมื่อ 5,000 ปีมาแล้ว
อียิปต์ปลูกกุหลาบส่งขายโรมันมาตั้งแต่โบราณ และโรมันเองก็มีการปลูกกุหลาบอย่างมากมายเพราะชาวโรมันถือว่ากุหลาบเป็นสัญญาลักษณ์แห่งความรัก จึงใช้กุหลาบเป็นทั้งของขวัญ ใช้ตกแต่งในงานฉลองต่างๆ รวมทั้งโรมันยังใช้กุหลาบในการประกอบอาหาร เครื่องดื่มและปรุงยาอีกด้วย
ประวัติกุหลาบมีมากมายหลายเรื่อง บ้างเป็นตำนานเล่าขาน สนุกสนาน ไปตามแต่ละถิ่นและความเชื่อ
ในตำนานเทพของกรีก เชื่อว่า เมื่อครั้งที่เทวีแห่งความรักนามว่า " อโฟรไดท์" (aphrodite) หรือ เทพวีนัส (venus) ถือกำเนิดขึ้นจากท้องทะเล กุหลาบก็ได้ถือกำเนิดขึ้นจากฟองคลื่นขาวสะอาดที่สาดซัดมาต้อนรับ กุหลาบจึงเป็นสีขาว จนกระทั่งวันหนึ่ง  "อคอนิส"  คนรักที่ถูกหมูป่าฆ่า น้ำตาของเทพวีนัส ได้ปะปนกับเลือดของอคอนิส กุหลาบจึงมีสีแดงเข้ม แต่บางตำนานก็บอกว่า กุหลาบ คือ เลือดของเทพวีนัสเองที่ถูกแทงด้วยหนามแหลม กุหลาบจึงมีหนามและสีแดงดั่งเลือด
อึกตำนานของกรีกได้เล่าว่า กุหลาบเกิดจากการชุมนุมของทวยเทพ เพื่อประทานชีวิตใหม่ให้แก่กินรี ที่เทพแห่งบุปชาติ หรือ "คลอริส" ได้บังเอิญพบ ในตำนานกล่าวว่า อโฟรไดท์เป็นเทพผู้ประทานความงามให้
"เซไฟรัส" ซึ่งเป็นเทพแห่งลมตะวันตกได้ช่วยพัดกลุ่มเมฆ เพื่อเปิดฟ้าให้กับ แสงของเทพอพอลโล หรือแสงอาทิตย์ส่องลงมาเพื่อประทานพรอมตะ
"ไดโอนีเซียส" เทพเจ้าแห่งเหล้าองุ่นก็ประทาน น้ำอมฤตและกลิ่นหอม และมีเทพอีกสามองค์ประทานความสดใส เสน่ห์ และความน่าอภิรมย์
จากนั้นหล่าทวยเทพ จึงเรียกดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมและทรงเสน่ห์นี้ว่า "Rosa"  เทพธิดาคลอริส  ได้รวบรวมหยดน้ำค้างมาประดับเป็นมงกุฎ เพื่อมอบให้ดอกไม้นี้เป็นราชินีแห่งดอกไม้ทั้งมวล จากนั้นก็ประทานดอกกุหลาบให้กับ "เทพอีโรส" ซึ่งเป็นเทพแห่งความรัก "กุหลาบ"จึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของความรัก   แล้วเทพอีโรสก็ประทานกุหลาบนี้ให้แก่ "ฮาร์โพเครติส" ซึ่งเป็นเทพแห่งความเงียบ เพื่อที่จะเก็บซ่อนความอ่อนแอของทวยเทพทั้งหลาย ดอกกุหลาบจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ ของความเงียบและความเร้นลับอีกอย่างหนึ่ง
ข้างฝั่งโรมันเองก็มีตำนานเล่าว่า คิวปิดลูกชายของวีนัส เป็นผู้ทำเหล้าองุ่นหกรดดอกกุหลาบหลายดอกกุหลาบเหล่านั้นจึงมีสีแดง (โรมันใช้กุหลาบเป็นส่วนประกอบของเหล้าองุ่นและไวน์)  ส่วนหนามที่แหลมคมของกุหลาบเกิดขึ้นจากความโกรธเพราะขณะที่คิวปิดกำลังชื่นชมความหอมของดอกกุหลาบกลับโดนผึ้งต่อย คิวปิดจึงควักธนูมายิงใส่พุ่มกุหลาบทำให้กุหลาบมีหนามที่แหลมคม
ทางเปอร์เซีย ก็มีตำนานพูดถึง กุหลาบแดงไว้ว่า นกไนติงเกลตัวแรกของโลกมีความปรารถนาที่จะกล่อมราตรีกาลให้หวานชื่น ด้วยเสียงอันไพเราะของมันแต่ด้วยกลัวว่าจะเผลอหลับ ไนติงเกลจึงปักอกของตัวเองลงที่หนามกุหลาบทำให้มันสามารถทำได้ตามที่ตั้งใจไว เลือดของไนติงเกลที่หยดลงจึงทำให้ดอกกุหลาบมีสีแดง
นอกจากนี้ ความหมายของความรักในศาสนาคริสต์ ถือว่ากุหลาบสีขาวแทนความบริสุทธิ์ของ พระแม่มาเรีย และกุหลาบสีแดงเกิดจากหยาดพระโลหิตของพระเยซูเจ้าเมื่อถูกสวมมงกุฎหนาม จึงถือเป็นสัญลักษณ์ของผู้ประกาศศาสนาที่พลีชีพเพื่อพระผู้เป็นเจ้า
ด้านบันทึกของคริสตจักร "เซนต์แอมโบรส" (st. Ambrose) ได้บันทึกไว้ว่า กุหลาบถูกส่งมาจากสวรรค์พร้อมกับหนามอันแหลมคม เพื่อเตือนมนุษย์ให้ระลึกถึงความเจ็บปวดที่เกิดจากความประพฤติผิดของตน เมื่อครั้งที่อาดัมมนุษย์ผู้ชายคนแรกของโลก พลาดพลั้งทำตัวให้เปื้อนบาป แต่พระเจ้ายังได้มอบความงามและความหอมของกุหลาบ เพื่อให้มนุษย์พึงระลึกว่าชีวิตยังมีความหวัง และสามารถถ่ายถอนบาปได้เช่นกัน
สำหรับของไทยเรา ถือว่า มัทนะพาธา บทละครพูดคำฉันท์ 5 องค์ บทพระราชนิพนธ์ของล้นเกล้ารัชกาลที่ 6 เป็นตำนานเกี่ยวกับดอกกุหลาบ
ความรักเหมือนโรคา       บันดาลตาให้มืดมน
ไม่ยินและไม่ยล               อุปสรรคใดใด
ความรักเหมือนโคถึก     กำลังคึกผิขังไว้
ก็โลดออกจากคอกไป    บ ยอมอยู่ ณ ที่ขัง
ถึงหากจะผูกไว้               ก็ดึงไปด้วยกำลัง
ยิ่งห้ามก็ยิ่งคลั่ง              บ หวนคิดถึงเจ็บกาย

กุหลาบสายพันธุ์พระตำหนักภูพิงค์ (20)